เรียน ป. โท จะเลือก แผน ก หรือ แผน ข ดี?

เรียน ป. โท จะเลือก แผน ก หรือ แผน ข ดี?

การศึกษาในระดับปริญญาโทนั้น ยังมีหลายๆ คนสงสัยในการเลือกเรียนระหว่างแผน ก กับ แผน ข ซึ่งไม่เข้าใจว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และแผนไหนจะตรงกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการของเรา ดังนั้นเราขอนำความเห็นจากหลายๆ แหล่งมาประมวลมาให้อ่านกัน ซึ่งอาจจะเป็นแนวทางให้ได้ตัดสินใจกันและหวังว่าคงมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจไม่มากก็น้อย และสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องตอบโจทย์ตัวเองให้ได้ก่อนว่า “เราจะเรียนต่อในระดับปริญญาโททำไม? เรียนเพื่อไปทำอะไร?

 แผน ก (ทำวิทยานิพนธ์) และ แผน ข (การค้นคว้าอิสระ)

    • หลักสูตรในแผน ก เป็นหลักสูตรที่มีการทำงานวิจัยเป็น “วิทยานิพนธ์” (12 หน่วยกิต)โดยมุ่งเน้นทักษะการทำวิจัยเต็มรูป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนางานในหน้าที่ และเพื่อเตรียมตัวสำหรับการศึกษาต่อ ในระดับสูงขึ้นหรือปริญญาเอก (ดร.) ในโอกาสต่อไป โดยงานวิจัยต้องได้รับการตีพิมพ์ในฐาน TCI ฐาน 2 ขึ้นไป จึงจะสามารถจบการศึกษาได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักวิชาการ อาจารย์ หรืออาจเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานต่างๆ (เป็นการเรียนเชิงลึก) เหมาะกับผู้ที่ชอบการค้นคว้าทำวิจัย
    • หลักสูตรในแผน ข เป็นหลักสูตรที่มีการทำงานวิจัยเป็น “การค้นคว้าอิสระ” (6 หน่วยกิต) โดยมุ่งเน้นทักษะการทำวิจัยเช่นเดียวกัน เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีความสนใจศึกษางานวิจัย เพื่อต้องการนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนางานในหน้าที่ หรือสำหรับผู้ที่มีความต้องการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษตามความสนใจของตนเอง โดยงานวิจัยต้องได้รับการตีพิมพ์หรือการนำเสนอผลงานทางวิชาการด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง จึงจะสามารถจบการศึกษาได้

จะเลือกแผนไหนนั้นขึ้นอยู่กับ

    • สาขาวิชาที่เรียนบางสาขา การทำวิทยานิพนธ์จะมีประโยชน์มากกว่าการค้นคว้าอิสระ
    • การวางอนาคต ถ้าต้องการต่อปริญญาเอกหรือทำงานในสายงานวิชาการ วิจัย อาจารย์ การทำวิทยานิพนธ์จะเป็นการฝึกฝนและเตรียมความพร้อมที่ดีมาก
    • ความถนัดและความชอบส่วนบุคคล ต้องมีเวลาที่จะศึกษาหาข้อมูลเต็มที่

อย่างไรก็ตาม จะเลือกแผนไหนก็ได้ แต่ต้องให้ได้ตรงตามเป้าประสงค์ในอนาคตของเรา เพราะว่าจะทำให้เรามีความพร้อมที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่ควรเลือกให้เราได้เรียนรู้ให้มากที่สุด มีความรับผิดชอบต่อตัวเองให้มาก เพราะส่วนใหญ่การเรียนในระดับปริญญาโทเป็นการศึกษาหาข้อมูลด้วยตนเอง


สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มเรียนต่อปริญญาโท เพื่อเป็นแนวทางให้เตรียมพร้อมและเตรียมตัวสำหรับการเรียนต่อได้อย่างถูกต้อง

  1. รู้เป้าหมาย

    • สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเรียนต่อ ก็คือรู้จักเป้าหมายว่าเราจะเรียนต่อไปทำไม? เพราะการเรียนต่อโดยไร้เป้าหมายจะทำให้เสียเวลาและเสียเงินไปเปล่าๆ หากเรียนไปแล้วรู้สึกไม่ใช่หรือไม่ชอบ เพราะฉะนั้นจึงควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนสำหรับการเรียนต่อว่าเรียนไปทำไมและเพื่ออะไร เช่น เรียนต่อเพื่อใช้ในการทำงาน เรียนต่อเพื่อเป็นอาจารย์ หรือเรียนต่อเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม เพราะสิ่งนี้จะมีผลในการเลือกเรียนในหลักสูตรต่างๆ และช่วยให้สามารถกำหนดขอบเขตของเวลาได้อย่างชัดเจนด้วย
  1. ภาคปกติและภาคพิเศษเหมาะสำหรับใคร

    • โดยปกติแล้วการเรียนต่อปริญญาโทจะมีให้เลือกเรียนได้ 2 แบบ ซึ่งก็คือภาคปกติและภาคพิเศษ
      • ภาคปกติ จะเป็นการเรียนในรูปแบบวันจันทร์ – ศุกร์ การเรียนจะไม่หนักเท่าภาคพิเศษ เพราะไม่ต้องมีวิชาเรียนอัดเกินไป ทำให้มีเวลาทำงานส่งอาจารย์ในวันเสาร์อาทิตย์ด้วย การเรียนภาคปกติจึงเหมาะสำหรับคนที่มีเวลาว่างในวันปกติ ผู้ที่ยังไม่ได้ทำงานประจำ คนที่มีรายได้น้อยและคนทำงานอิสระนั้นเอง
      • ภาคพิเศษ มีการเรียนการสอนในวันเสาร์ – อาทิตย์ ส่วนค่าหน่วยกิตจะแพงกว่าการเรียนภาคปกติ ภาคพิเศษจะเหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานประจำเพราะมีเวลาจำกัดในการเรียน
  1. โครงสร้างหลักสูตร แผน ก และ แผน ข

    • โดยปกติแล้วหลักสูตรปริญญาโทจะมีให้เลือกด้วยกันอยู่ 3 แบบ แผน ก1, ก2, และแผน ข ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้มีความต่างกันทั้งวิชาเรียน ความเข้มข้นและรูปแบบการเรียน
      • แบบแผน ก1 คือ หลักสูตรที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญหรืออาจารย์ในสาขาวิชานั้นๆ โดยหลักสูตรแบบ ก1 จะไม่มีการเรียนการเรียนการสอน แต่จะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้เวลาไปกับการทำวิทยานิพนธ์เท่านั้น ทำให้หลักสูตร ก1 ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
      • แบบแผน ก2 จะมีความต่างจากแบบแผน ก1 ก็คือ มีการเพิ่มการเรียนการสอนให้เพื่อปรับพื้นฐานและความรู้ให้กับผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปทำวิทยานิพนธ์ได้
      • แบบแผน ข แบบแผน ข จะมีความคล้ายคลึงกับแบบแผน ก2 เพียงแต่จะมีความเข้มข้นน้อยของเนื้อหาน้อยกว่าการเรียนแบบ แผน ก และไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์เพื่อจบการศึกษา แต่ต้องทำเป็นการค้นคว้าอิสระแทน
  1. รู้จักวิธีการหาทุน

    • ทุนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้เรียนต่อไม่ว่าจะเป็นระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก เพราะจะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนและทำงานวิจัยได้โดยไม่ต้องกังวลถึงเรื่องค่าใช้จ่าย โดยปกติแล้วการหาทุนเรียนต่อมีอยู่สองแบบคือ ทุนภายในและทุนภายนอก
      • ทุนภายใน คือ ทุนที่ทางมหาวิทยาลัยหรือภาควิชาที่เราศึกษาต่อออกให้โดยตรง เช่น ทุนผู้ช่วยอาจารย์ ทุนผู้ช่วยวิจัย ทุนสำหรับนักเรียนต่างชาติ ทุนสนับสนุนการวิจัย โดยทุนภายในแต่ละประเภทจะมีความรายละเอียดที่แตกต่างกัน
      • ทุนภายนอก คือ ทุนที่ได้รับจากแหล่งเงินทุนภายนอกที่ไม่ใช่จากทางมหาวิทยาลัยโดยตรง เช่น ได้รับเงินทุนจากบริษัทที่ทำงาน ทุนสำหรับการตีพิมพ์ในวารสาร หรือได้รับเงินทุนจากกระทรวงหรือหน่วยเงินต่าง ๆ
  1. รู้จักวิธีการสอบเข้า

    • ปกติแล้วการสอบเข้าเรียนต่อจะมีอยู่ด้วยกัน 2 รอบ คือ 1) การสอบข้อเขียน เพื่อวัดความรู้พื้นฐานของผู้เข้าสอบ โดยทางหลักสูตรจะเป็นผู้กำหนดวิธีการสอบ และ 2) การสอบสัมภาษณ์ จะเป็นการสอบปากเปล่ากับอาจารย์ประจำสาขานั้นๆ
  1. รู้จักความต้องการของตลาด

    • ในอนาคตบางสาขาวิชาอาจถูกยุบหรืออาจจะมีสาขาวิชาใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งนึกที่เราควรคำนึงก็คือ ความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตอีก 2 – 5 ปี ว่ามีแนวโน้มหรือขาดแคลนแรงงานในด้านใด เพราะคงไม่มีใครที่จะเรียนจบมาแล้วไม่มีงานทำ
  1. รู้จักเตรียมตัว

    • รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เพราะเรารู้ว่าฆ่าศึกเป็นใคร การเรียนต่อก็เช่นกัน หากเราเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีการเรียนต่อจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่ต้องเตรียมตัวก็คือ เตรียมตัวเรื่องภาษาอังกฤษเพราะหนังสือและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษแทบทั้งหมด
      • เตรียมคิดหัวข้อวิทยานิพนธ์ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะเวลาในการเรียนปริญญาโทนั้นสั้นกว่าที่คิด และหากไม่ได้คิดหัวข้อที่อยากจะทำไว้ก่อนจะทำให้การเรียนจบใช้เวลาและแรงกายมากกว่าเดิม
      • เตรียมตัวรับมือกับความท้อแท้ บ่อยครั้งที่ผู้เรียนต่อในระดับปริญญาโทต้องเผชิญหน้ากับความท้อแท้ แต่ก็อย่าได้กลัวไป เพราะความท้อแท้นี้แหละจะเป็นเชื้อไฟที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นได้ในอนาคต
      • เตรียมตัวเรื่องเวลา การเรียนต่อในระดับปริญญาโทขึ้นไป อาจารย์ในมหาวิทยาลัยจะถือว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจะไม่จ้ำจี้จ้ำไชเรา ทำให้เราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น

เรียบเรียงข้อมูลโดย : กุสุมา ไชยพัฒน์

วันที่ 1 เมษายน 2563